
ไม่ว่าเด็กๆที่มาพบหมอจะมาด้วยปัญหาอะไร สิ่งหนึ่งที่หมอชอบถามเสมอๆ คือ "อยู่บ้าน หนูได้ช่วยพ่อแม่ทำอะไรบ้างคะ"
ซึ่งหมอสังเกตว่า หากเป็นเด็กที่ฐานะครอบครัวปานกลางไปจนถึงยากจน เด็กๆมักมีโอกาสได้ช่วยพ่อแม่หลายอย่าง บางคนก็สร้างความประหลาดใจให้หมอ จนถึงขั้นตาเบิกโพลง อ้าปากค้าง เพราะเด็กๆถูบ้านได้ตั้งแต่6ขวบ ล้างจานได้ตั้งแต่7ขวบ หุงข้าวเองได้ตั้งแต่8ขวบ และทำอาหารกินเองเมื่อพ่อแม่ไม่อยู่ ได้ตั้งแต่9ขวบ ...OMG!! ข้าน้อยขอคารวะ
แต่หากเป็นเด็กในครอบครัวมีอันจะกินไปจนถึงมีอันจะกินยังไงก็ไม่หมด พ่อแม่หลายคนมักจะทำหน้างงๆใส่หมอ(ประมาณว่า จะถามทำไม?) แล้วบอกว่า ที่บ้านมีคนทำงานบ้านค่ะหมอ แม่เองก็ไม่ได้ทำ...
มาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าการช่วยงานบ้านมีประโยชน์อย่างไร
1.เป็นการเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง (self esteem) ของเด็ก
ความรับผิดชอบบางสิ่งบางอย่างได้จนสำเร็จ เป็นหนึ่งในบันไดของการสร้าง self esteem ของเด็ก (โดยหมอจะกล่าวถึงเรื่องนี้โดยละเอียดในโอกาสต่อไป) ดังนั้น จึงขอแนะนำให้มอบหมายงานให้ลูก 1อย่าง ที่เหมาะสมตามศักยภาพของเค้า เช่น เด็ก5ขวบ อาจให้ช่วยให้อาหารปลา เด็ก10ขวบ อาจให้ช่วยรดน้ำต้นไม้ เป็นต้น
ตัวอย่างที่บ้านหมอ คือ สอนลูกสาววัย4ขวบให้แกะเปลือกไข่ต้ม เมื่อเธอแกะได้ทั้งลูกโดยที่ไข่ยังอยู่ในสภาพสวยงาม เธอยิ้มหน้าบาน วิ่งถือไข่ไปอวดคนทั้งบ้านเลยล่ะค่ะ
2.เป็นการปลูกฝังให้เด็กรู้จักการให้
การที่เด็กได้มีโอกาสช่วยเหลือคนอื่นนั้นเป็นรากฐานของการพัฒนาความเห็นอกเห็นใจคนอื่น (empathy) เนื่องจากเด็กจะได้มีประสบการณ์ว่าความช่วยเหลือของตนเองนั้นมีประโยชน์ต่อคนที่กำลังลำบาก(กรณีนี้คือพ่อแม่ หรือพี่เลี้ยง ที่ต้องทำงานบ้าน) และจะนำมาซึ่งความรู้สึกว่าตนเองนั้นมีค่าต่อผู้อื่นค่ะ
3.เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักแบ่งเวลา
ด้วยความที่เด็กสมัยนี้เรียนหนัก มีการบ้านกลับมาทำถึงดึกดื่นมืดค่ำเสมอๆ หลายครอบครัวก็เลยมีทัศนคติทำนองว่า "แค่เรียนก็เหนื่อยจะแย่ เรียนอย่างเดียวก็พอแล้ว" เมื่อลูกโตมาแบบเรียนอย่างเดียว ก็เลยไม่มีโอกาสที่จะได้ฝึกฝนการแบ่งเวลาและจัดลำดับความสำคัญในชีวิตค่ะ
ชีวิตจริงคนเรามีหลายเรื่องค่ะ ไม่ได้มีแต่การเรียนหรือการทำงาน การได้ฝึกแบ่งเวลาตั้งแต่เล็ก เด็กย่อมเก่งในการใช้ชีวิตเร็วกว่าไปฝึกเอาตอนโต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มิได้หมายความว่า ต้องให้ลูกทำงานบ้านหนักๆ แม้ว่าเค้าจะเรียนหนักอยู่แล้วนะคะ เราสามารถเลือกงานที่เหมาะสมกับเวลาของลูกได้ค่ะ
แม้จะนับข้อดีได้เพียง 3ข้อ แต่เป็น 3ข้อที่ทรงพลังอย่างมาก เกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องเสียเงินส่งลูกไปเข้าคอร์สเสริมสร้างEQใดๆ บ้านไหนให้ลูกช่วยงานบ้านอยู่แล้วก็ขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ บ้านไหนยังไม่ได้เริ่ม ก็ขอเชิญชวนให้เริ่มไปพร้อมๆกับบ้านหมอเลยนะคะ (ลูกเราทั้งคู่ไม่พลาดแน่ๆค่ะ)
สิ่งสำคัญมากที่ต้องคำนึงถึงในการให้ลูกช่วยงานบ้าน คือ
1.ท่าทีของพ่อแม่เมื่อจะให้ลูกช่วยงานบ้าน ต้องเป็นท่าทีที่ขอให้ช่วย มิใช่ สั่งให้ทำ นะคะ
2.เมื่อลูกทำเสร็จในแต่ละวัน อย่าลืมให้แรงเสริม(ใครยังไม่คุ้นกับคำนี้ ขอเชิญอ่านได้ใน #ปรับพฤติกรรมลูกอย่างไรดี_ตอนที่2_การเสริมแรง ค่ะ) ไม่ว่าจะเป็นคำขอบคุณ คำชม การกอด หอม เพื่อให้เค้าภูมิใจและอยากจะทำสิ่งดีๆนี้ต่อไปด้วยค่ะ
3.ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดีค่ะ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ให้ลูกช่วยตั้งแต่อายุยังน้อย ลูกก็จะรู้สึกว่าการช่วยงานบ้านนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่สมาชิกในบ้านต้องช่วยกัน แต่หากตอนเด็กๆคุณไม่เคยให้เค้าทำเลย แล้วอยู่ๆพอเค้าอายุ15 คุณพ่อคุณแม่ก็บ่นว่าทำไมโตป่านนี้ไม่รู้จักช่วยพ่อแม่บ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะมีแต่ทะเลาะกันล่ะค่ะ
4.งานบ้านเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ต้องอาศัยความชำนาญ เมื่อเริ่มต้นทำครั้งแรกไม่มีใครทำได้เรียบร้อย สะอาดถูกใจคุณแม่บ้าน/พ่อบ้านหรอกค่ะ อย่าตำหนิหากลูกยังทำได้ไม่ดี แต่ต้องให้เวลาและโอกาสให้ลูกได้ฝึกฝนนะคะ
ว่าแล้วก็ขอตัวไปคิดก่อนค่ะ ว่าเย็นนี้จะให้ลูกช่วยทำอะไรดี
หมอก้อย
Cr.ภาพจาก http://www.wearehappy.in.th/heappy-family/mother-housework/
| หน้าที่เข้าชม | 442,596 ครั้ง |
| ผู้ชมทั้งหมด | 162,033 ครั้ง |
| เปิดร้าน | 25 ก.พ. 2556 |
| ร้านค้าอัพเดท | 20 พ.ย. 2568 |